เทศน์พระ

เทศน์พระ

๔ ก.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์พระ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ทำไมต้องฟังธรรม ถ้าเราไม่ฟังธรรมมันก็ฟังกิเลส เพราะใจเรามันเป็นกิเลสอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่บวชเป็นพระนี่แหละ การบวชเป็นพระก็เป็นพระโดยสมมุตินะ เราบวชเป็นพระ เพราะเราเห็นทางออกไง ถ้าเราไม่เห็นทางออกเราจะจมปลักอยู่กับอารมณ์ปัจจุบัน อารมณ์ในวัฏฏะ อารมณ์ทางโลก เราจะจมอยู่อย่างนั้นเห็นไหม

สิ่งต่างๆ มันหมักหมม ถ้ามีการถ่ายเทเราต้องลงอุโบสถ แล้วต้องมาร่วมมาเข้าหมู่คณะ พอมาเข้าหมู่คณะเพื่อมาตรวจสอบตัวเอง การอยู่ของเรามันเหมือนจมปลักอยู่ในอารมณ์ ยิ่งถ้าเราอยู่กันเองเห็นไหม แล้วเราลงอุโบสถ ใช่ ! เราเคยอยู่คนเดียว ที่ไหนเขาลงอุโบสถเราก็ไม่ไป

บุคคลอุโบสถ คณะอุโบสถ สังฆะอุโบสถ ทำไมเราจะลงไม่ได้ อยู่ที่ไหนเราก็ลงอุโบสถได้ ไม่จำเป็นจะต้องไปลงอุโบสถโดยลากกันไปลากกันมา แต่ขณะที่อยู่คนเดียวน่ะลงอุโบสถได้ แต่เราอยู่คนเดียวได้จริงหรือเปล่า ? เราอยู่คนเดียวเองไม่ได้เพราะอะไร ? เพราะเราอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกของเรา

เราไม่ได้อยู่คนเดียวนะ เราอยู่กับความทุกข์ เราอยู่กับสัญญาอารมณ์นะ มันเหยียบย่ำในหัวใจของเรา แต่เราสำคัญตนว่าเราอยู่คนเดียวได้ต่างหากล่ะ แต่ถ้าเขาอยู่คนเดียวได้เขาเป็นเอกเทศอยู่ในหัวใจของเขา เพราะเขาเป็นปัจเจกบุคคลชน เขาอยู่ของเขาได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ เวลาเทศน์ธรรมจักรเห็นไหม ปัญจวัคคีย์เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาทั้งหมดเลย พระยสะเห็นไหม

“เธอกับเรารวมกันเป็น ๖๑ องค์ พ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์และบ่วงที่เป็นโลก เธอจงอย่าไปซ้อนทางกัน”

อย่าไปซ้อนทางกันนะ เพราะแม้แต่ไป ๒ องค์ มันก็เสียโอกาสแล้ว คนที่อยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ คนที่อยู่ด้วยเอกเทศได้มันจะเป็นที่พึ่งอาศัยของสังคมของสัตว์โลก เราอยู่คนเดียวไม่ได้เพราะอะไร ? เพราะเราอยู่คนเดียวจิตใจเราก็คิดถึง เขาไม่ได้มาหาเราหรอก จิตใจเรากว้านออกไป มันคิดจินตนาการไป แล้วมันต้องการจะบริหารจัดการ จะอยากให้คนรับรู้ จะขี่บนหัวคน

โดยธรรมชาติของกิเลส โดยจิตวิทยาบอกแล้ว “อยากมีอำนาจ อยากใหญ่ อยากให้มีการยอมรับ”

กิเลสโดยธรรมชาติของมันน่ะ มันต้องการให้คนยอมรับว่าเราน่ะมีความสำคัญ แล้วก็จะเหยียบเขาไปน่ะ มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว อยู่คนเดียวได้อย่างไร ที่นี้เราอยู่คนเดียวไม่ได้ เราอยู่ในหมู่คณะของเราเห็นไหม จะอยู่ในวัดในวา จะลงอุโบสถคนเดียวก็ได้ บุคคลอุโบสถ

ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าวางบัญญัติไว้แล้ว บุคคลอุโบสถ คณะอุโบสถ สังฆะอุโบสถ ในเมื่อมีปัญหาขึ้นมาสามัคคีอุโบสถ ในเมื่อถ้ามีความเห็นแตกต่างเห็นไหม นานาสังวาสเพื่อสมานสังวาสเป็นสามัคคีอุโบสถ

สามัคคีอุโบสถคือความเห็นแตกต่าง แล้วปลงอาบัติขออภัยต่อกัน ให้ลงสามัคคีอุโบสถเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความร่มเย็นของสังคม พูดถึงทำไมต้องลงอุโบสถ ทำไมจะต้องขวนขวาย ขวนขวายมาก็เพื่อป้องกันความแตกแยก ป้องกันเวลาเรามีปัญหาขึ้นมา

เหมือนเรามีปัญหาขึ้นมา เราเป็นแผล ร่างกายเราพิการ ยิ่งไม่รักษาแผลมันยิ่งลึกเข้าไป พอแผลยิ่งลึกขึ้นไป มือนั้น ขานั้น อวัยวะชิ้นนั้นต้องเสียหายไป แต่ถ้าเข้าสังคมเห็นไหม ตรงไหนเป็นแผล ตรงไหนมันเป็นโรคภัยไข้เจ็บ เราก็มารักษาเพราะว่าเข้าสังคม

สังคมคืออะไร ? คือหมู่คณะ หมู่คณะก็เหมือนร่างกายของมนุษย์ พอเข้ามาแล้วถ้ามันมีความแตกต่างเห็นไหม ความแตกต่างมันจะฟ้องเลยล่ะ ความแตกต่างนั้นน่ะเข้าหมู่ไม่ได้ ถ้าเข้าหมู่ไม่ได้คืออวัยวะตัวนั้นแบบว่าเปลี่ยนอวัยวะไง แล้วร่างกายไม่ยอมรับ มันต่อต้าน ถ้ามันต่อต้านก็ต้องกินยากดไว้

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้ามาในหมู่คณะ มันจะต้องตรวจสอบกัน เราจะมาอยู่ด้วยกัน เราจะดูแลกัน เพื่อความสมานฉันท์ เพื่อสังคมของเรา เห็นไหม เราเข้ามาในหมู่คณะ เราไม่จมอยู่กับอารมณ์นั้น สังคมเขาเป็นอย่างนั้นน่ะ

วันนี้เป็นวันสาทรจีน เห็นไหม เขามีความร่มเย็นเป็นสุขของเขาเพราะอะไร ? เพราะญาติโกโหติกา ผู้ที่อยู่ต่างที่กันเขาจะมาเคารพบูชากัน เขากตัญญูกตเวทีเป็นประเพณีของคนจีนเขา เขาจะมาไหว้พ่อไหว้แม่ เหมือนสงกรานต์เราน่ะ คนที่อยู่ต่างถิ่นอยู่ที่ห่างไกลกันเขามาเจอหน้ากันเขาก็มีความสุขเป็นธรรมดา มีความสุขชั่วคราวก็ต้องแยกจากกันเป็นธรรมดา นี่เรื่องของโลกเขา

แต่เรื่องของเราล่ะ เพราะเราเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เราบวชแล้วเราบวชแต่ร่างกายโดยสมมุติเห็นไหม เพราะธรรมวินัยนี้เป็นสมมุติบัญญัติ มันเป็นสมมุติอันหนึ่ง แต่สมมุติที่ตามความเป็นจริง แล้วตามความเป็นจริงเราต้องเชื่อถือเราต้องเชื่อมั่น แล้วตามความเป็นจริงอย่างนั้นถ้าเราจริงนี่

แต่เรามันปลอมเองไง เราอยากได้อยากดีไปหมด อยากเป็นคนดี อยากทุกอย่างดี เราเป็นคนดีหมดเลย แต่ตัวเองทำตัวเองเลว ทำตัวเองห่างไกลออกจากธรรมวินัย แล้วมันจะเป็นคนดีไปได้อย่างไรล่ะ มันเป็นคนดีไปไม่ได้หรอก เราอยากดีแต่เราทำตัวเองให้ห่างออกไป

แต่ถ้าเป็นคนดีเห็นไหม เราซื่อสัตย์ เราซื่อตรงกับธรรมวินัย ทำตัวของเราให้เป็นคนดี ดีเป็นความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความดีจริงขึ้นมามันจะเป็นความดีของเรา ถ้าดีของเราเห็นไหม ถ้าทุกคนดีหมด ร่างกาย อวัยวะต่างๆ เลือดดี ลมดี ทุกอย่างดี ร่างกายมันจะเป็นอย่างไร มันก็สมบูรณ์นะสิ

นี่ก็เหมือนกัน เราเข้าสังคมมาก็เพื่อเหตุนั้นนะ เพราะอะไร เพราะเพื่อตรวจสอบ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปาฏิโมกข์เห็นไหม ดูซิ วันมาฆบูชา สงฆ์ ๑,๒๕๐ องค์เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย โอวาทปาติโมกข์เห็นไหม “เธอจงไม่ทำความชั่วทั้งหมด ทำแต่คุณงามความดี ทำดีทั้งหมด ความชั่วต่างๆ งดเว้นทั้งหมด แล้วทำจิตให้ผ่องแผ้ว”

แม้แต่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์เห็นไหม เพื่ออะไร ? เพื่อความรื่นเริงอาจหาญในธรรมนั้น จิตใจมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเห็นไหม ทุกคนเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว พระอรหันต์น่ะจิตใจมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว พอเป็นอย่างนั้นน่ะเวลาสามัคคีอุโบสถ ในวันมาฆบูชามีแต่เอหิภิกขุทั้งนั้นเลย พระพุทธเจ้าบวชให้ด้วย แล้วเป็นพระอรหันต์แล้วด้วย แล้วยังแสดงอุโบสถ

นี่ก็เหมือนกัน เรามาร่วมอุโบสถกันเห็นไหม อุโบสถเพื่อธรรมวินัย สิ่งที่เป็นธรรมวินัยเพื่อให้เรามั่นคง สิ่งที่มันจะมั่นคงขึ้นมาเพราะเรานะ บวชแล้วต้องศึกษา บวชแล้วเราต้องทำ ปริยัติ นี่เวลาเล่าเรียนน่ะสำนักเรียนน่ะมีอยู่แล้ว เล่าเรียนน่ะพอแล้ว

การศึกษาๆ ตัวเองไง ศึกษาคือทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ไม่ได้ศึกษามาเถียงกันปากเปียกปากแฉะ ไร้สาระ หมากูมันเห่ากันทุกวันนะ อยู่ในกรงนะมันยังเห่าข้ามกรงกันเลย หมากูมันทะเลาะกันทุกวันนะ

แล้วเรามาศึกษา ศึกษากับใคร ทำไมไม่ศึกษากับตัวเอง ทำไมไม่เข้าทางจงกรม ทำไมไม่นั่งสมาธิภาวนาให้มันรู้ให้มันเห็นขึ้นมา จะมาเถียงกัน จะมาศึกษาเพื่อเอาความรู้จากข้างนอกมันจะมีความรู้อะไรขึ้นมา คอมพิวเตอร์ดีกว่ามึงอีก คอมพิวเตอร์มันจำได้ดีกว่ามึง เครื่องไหนกดแล้วมันก็ออกมาหมดน่ะ พระไตรปิฎกที่ไหนมันก็ออกมา กดที่ไหนมันก็ออกมา มึงกดไปตัวเดียวน่ะ อยากรู้อะไรกดมันออกมาหมดเลย แล้วมันได้อะไรขึ้นมา

ปริยัติเป็นปริยัติ ปฏิบัติต้องเป็นปฏิบัติ ปฏิบัติต้องให้มันรู้จริงขึ้นมา อย่าเป็นหมาเห่าใบตองแห้ง ลมพัดก็เห่า เห็นลมพัดมาเห่าแล้ว กูรู้ๆ มันไม่มีความรู้อะไรขึ้นมา มันไม่รู้อะไรขึ้นมาเลยนะ

ชีวิตเรานี้มันสั้นนัก ยิ่งที่บวชมาเห็นไหม เรามาบวชเป็นพระ ออกพรรษาก็สึกแล้ว ใครจะสึกก็สึกไปมันเป็นกรรมของสัตว์ มันเป็นวาระ นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาเห็นไหม แต่เอามาเปรียบเทียบเป็นธรรมให้ฟังไง

ดูซิ เห็นไหม เวลาบวชขึ้นมาน่ะเราก็ตายจากคฤหัสถ์มาเป็นพระ ตายแล้วนะ ในเพศไง ในเพศของคฤหัสถ์ การที่เป็นสมณสารูปเราเป็นพระเป็นเพศของภิกษุนะ สมณสารูปเป็นเพศของภิกษุ เวลาเราสึกไปมันก็ตายจากภิกษุออกไปเป็นคฤหัสถ์อย่างเดิม การเกิดและการตายในสมมุติ การเกิดการตายในธรรมวินัย ในธรรมวินัยนะ คือบวชพระนี้โดยสมมุติ จริงตามสมมุติ

แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเกิดในธรรมอีกนะ ถ้าเป็นในธรรมมันเป็นพระที่หัวใจน่ะ มันเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี อันนั้นมันจะเกิดในธรรม มันลึกลับซับซ้อนกว่านี้เยอะนัก แล้วมันทำขึ้นมาน่ะ อุปัชฌาย์ที่ไหนทำให้ เวลาเราไปบวชขึ้นมาเพราะอุปัชฌาย์บวชให้ใช่ไหม เรามีความพร้อมถูกต้องตามกฎหมาย อุปัชฌาย์บวชให้ทั้งนั้นแหละ

พอบวชให้ขึ้นมาเห็นไหม เราตายจากคฤหัสถ์ ตายจากฆราวาสมาเป็นพระ มาเป็นพระจะได้สักเท่าไหร่ เป็นพระได้กี่ปี เป็นพระได้กี่วัน เป็นพระอยู่ที่ความเป็นพระ พอเป็นพระขึ้นมา ถ้าอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข หัวใจมันก็ร่มเย็นเป็นสุข

ดูซิ เป็นฆราวาสถ้าหัวใจร่มเย็นเป็นสุข เป็นฆราวาสมันก็จะมีความสุข ถ้าเป็นพระหัวใจร่มเย็นมันก็เป็นพระด้วยความร่มเย็นเป็นสุข ถ้าเป็นพระหัวใจเร่าร้อน หัวใจเดือดร้อนเป็นพระมันก็เดือดร้อน ถ้าเป็นฆราวาส หัวใจมันเดือดร้อนมันก็เดือดร้อน

จะเป็นพระหรือเป็นฆราวาสมันเป็นจริงตามสมมุติ คือเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว แต่มนุษย์มาบวชอีกในธรรมวินัย สมมุติในธรรมวินัยนี้บวชเป็นพระขึ้นมา สังคมของพระพุทธศาสนาให้โอกาสมากกับภิกษุ เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏะ ผู้ที่เห็นโทษของกิเลส ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ

เราเป็นอย่างที่สังคมเขาหวังไหม ? เราเป็นแบบที่สังคมเขาคาดหวังไหม ? ถามตัวเอง ? เราเป็นพระมา สังคมเขาคาดหมายไว้ว่าพระพุทธศาสนา พระป่า พระที่ประพฤติปฏิบัติ พระที่เป็นครูบาอาจารย์ของเราจะเป็นที่เคารพบูชาของเรา จะมีธรรมวินัย จะมีสิ่งต่างๆ ทำบุญกุศลแล้วจะได้บุญกุศลของเขา

แล้วเราถามตัวเองว่า เราเป็นตามสิ่งที่สังคมเขาคาดหมายไหม ถ้าเป็นสิ่งตามที่เขาคาดหมาย เราต้องเร่งตัวของเราเอง อย่านอนใจ เพราะชีวิตนี้มันสั้นนัก

เราไม่ใช่อวดนะ เราดูครูบาอาจารย์มาตลอดเห็นไหม หลวงปู่แหวนน่ะ ครูบาอาจารย์ ๙๐กว่า ๆ นิพพานไปหมดแล้ว แล้วครูบาอาจารย์เรา ๙๐ กว่าๆ ใจเราก็หวั่นไหวอยู่ ก็รอดูอยู่นี่ มันจะเป็นไปตามธรรมชาติน่ะ มันเป็นไปตามวัฏฏะ มันเป็นผลของวัฏฏะ

ครูบาอาจารย์จะต้องตายไปข้างหน้านะ แล้วเราก็จะพรรษามากขึ้นมาข้างหน้า ๑๐ ปี ๒๐ ปีนี่แป๊บเดียวเท่านั้น แล้วใน ๑๐ ปี ๒๐ ปีแป๊บเดียวเท่านั้น เราขวนขวายไหม เราตั้งใจ มันจะดื้อขนาดไหน หัวใจมันจะดื้อขนาดไหน ถามมันสิ มันจะดื้อขนาดไหน เราก็พยายามแสวงหาที่มันสงบสงัดแล้วมันจะประพฤติปฏิบัติ มันจะเอาใจของเราไว้ ทำไมมันทำไม่ได้ ทำไมเราละล้าละลังนัก ทำไมเราไม่จริงจังกับมัน ทำไมไม่เอามันไว้ให้ได้ ถ้าเอามันไว้ให้ได้ ออกพรรษาผู้ที่เขาจะสึกขาลาเพศไปนั้นมันเป็นหน้าที่ของเขา มันเป็นโอกาสของเขาๆ มีเท่านั้น นี้คือการตายนะ

แล้วการตายจากเพศของพระออกไปเป็นฆราวาส ออกไปเป็นคฤหัสถ์ของเขาไปตามธรรมชาติของเขา แต่มันยังมีชีวิตอยู่ไง ตายแบบมีชีวิตอยู่คือตายโดยสมมุติ ตายจากเพศพระ แล้วถ้ามันเกิดตายจริงๆ ตามวัฏฏะล่ะ เกิดเป็นมนุษย์แล้วตายจากมนุษย์ ตายแล้วไปไหน

ตายอย่างนั้นมันยิ่งไม่มีโอกาสแก้ไขนะ เวลากรรมเวรมันหมดไป มันตายไปแล้วนี่ เราจะทำอย่างไร พอตายมันก็เสวยภพ มันเกิดนะ เป็นสัมภเวสี เป็นอะไร มันก็เสวยภพของมันแล้ว ถ้าเสวยภพแล้วมันจะต่อไปไหน ตายจากมนุษย์แล้วเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ได้ ตายแล้วจะเกิดต่อๆ ไป แล้วถ้ามันตายอย่างนั้น มันตายไปในวัฏฏะเลย วัฏฏะนี้พาให้ตายไป

กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นวัฏฏะ แล้วจิตมันหมุนไปในวัฏฏะ นี่ผลของกรรม ผลของวัฏฏะ ผลของกรรม นี่ที่เราเกิดมานี่เป็นผลของวัฏฏะ เราต้องทำคุณงามความดีมาพอสมควรเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา นี่ก็เป็นผลของวัฏฏะ ผลของบุญกรรมที่เราสร้างมา ถ้าผลของบุญกรรมที่เราสร้างมา เราสร้างมาแล้วเรามีบุญแล้วเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเรายังมีโอกาสได้บวชเป็นพระอีกด้วย

ทางโลกเขาอยากบวช เวลาคนศึกษาธรรมะกันทุกคนน่ะในหัวใจมันจะเร่าร้อน มันจะโหยหาไง อย่างเช่น เราทำธุรกิจ เราทำหน้าที่การงาน เราเห็นโอกาส เราเห็นการเจริญก้าวหน้า เราอยากไปเต็มที่เลย แต่เราไม่มีตำแหน่งนั้นใช่ไหม

อันนี้ก็เหมือนกัน ทุกคนศึกษาธรรมะแล้ว พอศึกษาธรรมะ นิพพานๆ ผลของการพ้นจากทุกข์ทุกคนก็โหยหา ! ทุกคนก็อยากได้ ! ทุกคนก็อยากทำ แต่เขาไม่มีโอกาส

แต่เรามีโอกาส ! เรามีโอกาสแล้ว เราบวชแล้ว เราเป็นพระแล้ว สังคมเขายกย่องว่าเป็นพระป่าด้วย เป็นพระปฏิบัติด้วยนะ ถ้าเป็นพระปฏิบัติเรามีโอกาสแล้ว เขาโหยหากัน เขาอยากเป็น เขาอยากได้ แล้วอยากได้มาเพื่อประพฤติมาปฏิบัติเพื่อจะพ้นทุกข์ เพราะศึกษาธรรมะแล้วหัวใจมันโหยหา หัวใจมันเข้าใจแล้วมันต้องการอย่างนั้น

เราก็เห็นภัยในวัฏฏะใช่ไหม เราก็บวชมาแล้ว เราก็เป็นพระด้วย แล้วเราก็ประพฤติปฏิบัติด้วย แล้วดูซิ เราเองน่ะเวลาประพฤติปฏิบัตินะมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความเห็นของใจ ใจเราเองเร่าร้อนเราก็เดือดร้อน ใจของเราร่มเย็นเป็นสุข เราก็ร่มเย็นเป็นสุข ใจของเราปรารถนาสิ่งใด ปรารถนาเพื่อให้สมความพ้นจากทุกข์ เราก็ปรารถนา แล้วเราทำเองน่ะมันทำแล้วมันเป็นไปไม่ได้ มันดื้อนัก เราก็ต้องหาทางต่อสู้กับมันซิ เราต้องหาทางต่อสู้ หาทางแยกแยะ หาทางผ่อนคลายมัน มันดื้อ มันไม่ทำ.. เราก็ทำ มันจะไปไหน เราต้องฝืนมัน ฝืนมัน

ในเมื่อวัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ในประเทศไทย ในจักรวาลนี้มันก็เป็นอย่างนี้ ไปที่ไหนมันก็เป็นอย่างนี้ มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกันทุกที่ทั้งนั้นแหละ มันเป็นสมมุติ มันเป็นการให้ค่าของสังคมแต่ละที่ๆ แต่ละที่นี้เห็นไหมนี่สัปปายะ เราเวียนไป มันก็เป็นในแต่ละที่

ในปัจจุบันนี้เราก็มีพร้อมทุกอย่างแล้วนะ ธาตุ ๔ เราก็มี ขันธ์ ๕ เราก็มี จิตใจเราก็มี สัปปายะข้างนอกก็มี ข้างในก็มี ครูบาอาจารย์ก็นั่งพูดอยู่นี่ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ถามมาซิ จะมีอะไรก็บอกมาซิ

ครูบาอาจารย์ ใช่ ! ครูบาอาจารย์ก็ทิ้งไว้บนหิ้ง แล้วไปเอาไว้บนหิ้งเลย ไอ้เรา.. กูสู้ของเราไปเลย อ้าว ครูบาอาจารย์ไว้บนหิ้งก็เรื่องของครูบาอาจารย์เอาไว้บนหิ้ง แล้วเรามีอะไรล่ะ เราได้อะไรล่ะ ถ้าเราได้อะไรมันต้องคิดนะ มันต้องดัดแปลง สิ่งใดจากภายนอกเห็นไหม เรามอง ดูหนังดูละครต้องย้อนดูตัว

ในการประพฤติปฏิบัติของเราก็เหมือนกัน ทำไมคนอื่นเขาทำได้ ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทำได้ เราก็ต้องทำได้ ผลของวัฏฏะมันจะเป็นไป สิ่งที่เป็นสมมุติอย่าเพิ่งไปปฏิเสธว่ามันเป็นสมมุติซะก่อน สมมุติมันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จริงตามสมมุติ สมมุติบัญญัติ วิมุตติน่ะมันเป็นธรรมะความจริง เรารู้อะไร ?

สมมุติ ! สมมุติ ! เขาว่าสมมุติ กูก็สมมุติมั่ง เขาว่าไม่ใช่ กูก็ไม่ใช่ แล้วไม่ใช่อะไร มันไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ทำไมจิตใจมันเร่าร้อนขนาดนั้น ทำไมจิตใจมันเฉามันเซื่องซึมขนาดนั้น มันเป็นเพราะเหตุใด มันไม่ตื่นรู้เลย

การตื่นรู้เห็นไหม ตื่นรู้มีสติ การตื่นรู้นะ แล้วรู้ซึ่งๆ หน้านะ รู้ด้วยความรู้ของตัวนะ ไม่ใช่รู้ด้วยไม่มีปัญญาอะไรเลย จิตใจมันไม่รู้สิ่งใดเลย บอกว่ารู้ ไอ้ที่ว่ารู้ๆ น่ะไม่รู้อะไรเลยนะ ไอ้ไม่รู้ซิ.. รู้ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้มันเป็นธรรมเหนือโลก ธรรมะมันเหนือโลก มันเหนือสมมุติบัญญัติ มันเหนือไปหมดเลย

เพราะอะไร ดูซิ ดูปฏิจจสมุทปบาท เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจยาการ มันเป็นพุทธวิสัย อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารา ปจฺจยา วิญฺญาณํ มันเป็นปัจจยาการนะ มันเป็นอาการของใจนะที่มันละเอียดลึกซึ้งมาก

สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดคือจิต คือความรับรู้ พลังงานที่เคลื่อนที่เร็วที่สุด แล้วสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดแล้วถ้ามันหยุดนิ่งนี่มันจะมีพลังงานมากขนาดไหน เวลาจิตเข้าไปรู้ สิ่งที่เคลื่อนที่ได้เร็วที่สุด ความที่เร็วที่สุดที่ความรับรู้มันเร็วที่สุดจนเราแทบจะไม่สามารถรู้ได้เลย

แต่ด้วยพุทธวิสัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางทฤษฎีไว้ วางธรรมวินัยเอาไว้ เราไม่ต้องไปทำความเข้าใจกับมันมากนักหรอก เราเพียงแต่ศึกษาว่าหนทางชี้น่ะไปอย่างนั้น เข็มทิศเครื่องดำเนินชี้ไปทางนั้น แล้วเราก็ทำของเราไป พอจิตใจเราไปรู้เข้า มันรู้อันเดียวกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนกันเลย ! แต่มันจะอธิบายออกมาอย่างนั้นโดยที่ความเห็นของเราน่ะ พูดไม่ได้

นี่ไง พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นไหม ไม่ได้วางธรรมวินัยไว้ “พระปัจเจกพุทธเจ้าสอนไม่ได้” เขาว่า

สอนได้ๆ สอนในสิ่งที่เป็นชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าจะมีความรู้ดีกว่าสาวก สาวกะ ๑๐๐ เท่า แล้วพวกเราสาวก สาวกะยังเทศนาว่าการแจ้วๆ เลย ขนาดเป็นสาวกนะ นี่ครูบาอาจารย์ของเราเป็นสาวกยังเทศนาว่าการ ยังสั่งสอนได้ขนาดนี้

พระปัจเจกพุทธเจ้าจะสั่งสอนไม่ได้ๆ อย่างไร พระปัจเจกพุทธเจ้าสอนได้ แต่สอนได้ในชีวิตของพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้วางธรรมวินัย คือไม่ได้บัญญัติไว้ ไม่ได้วางธรรมวินัยไว้ในพุทธศาสนา ในโลกเห็นไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ในโลก แล้วเราเป็นสาวก สาวกะ รู้เหมือนกัน ! แล้วเวลาอธิบายๆ ให้ใคร ก็อธิบายธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อธิบายธรรมวินัยที่วางไว้น่ะ แต่ความรู้ของเราเป็นอีกอันหนึ่งน่ะ

ถ้าความรู้ของเราไม่เป็นอีกอันหนึ่งนะ เราจะอธิบายสิ่งนั้นไม่ถูกหรอก ! สิ่งที่พระพุทธเจ้าวางไว้น่ะมันจริงตามนั้นแหละ แต่วุฒิภาวะนี่เราไม่เข้าใจ เราไม่เห็นอย่างนั้น แต่เราเห็นทฤษฎี เห็นธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าวางไว้ แต่หัวใจเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น พูดอย่างไรก็ผิดหมดทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าเราไปรู้จริงขึ้นมานะ จิตใจเรารู้อย่างนั้นเหมือนกัน รู้อย่างธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางไว้อย่างนั้นล่ะ รู้อย่างนั้น แต่เพราะวุฒิภาวะของเราน่ะ ถ้าจะอธิบายก็อธิบายด้วยความรู้ของเราใช่ไหม เราก็ต้องบัญญัติสิ่งที่จะสื่อออกมา

ที่นี้เราบัญญัติไม่ได้ เพราะมันละเอียดลึกซึ้งนักขนาดที่ว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านมีวุฒิภาวะ ดูครูบาอาจารย์ที่ท่านมีความชำนาญของท่าน เวลาลูกศิษย์ลูกหาเข้าไปนี่ “เออ ! เรารู้แล้ว ไม่ต้องบอก เรารู้แล้วๆ ” แล้วท่านจะสอนต่อ คือท่านจะบอกวิธีการให้พัฒนาขึ้นไปมากกว่านั้นๆ มากกว่านั้นเข้าไปก็ยิ่งมหัศจรรย์เข้าไปใหญ่ เอ้า...ก็ไหนว่ามหัศจรรย์ขนาดนั้น แล้วยิ่งภาวนาไปมันยิ่งมหัศจรรย์เข้าไป ลึกลับซับซ้อน ถ้าไม่อย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ท้อใจหรอก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วทั้งที่พร้อมที่จะมาสอนนะ แล้วสิ่งที่บัญญัติธรรมวินัยไว้มันเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดแล้ว ขณะที่ง่ายที่สุดแล้วพวกเรายังตกหลุมถ่านเพลิง ตกเหวกันไปเลยนะ เวลาไปดูเหวแล้วตกเหวไปเลยนะ เคว้งคว้างหล่นไปก้นเหวเลย

นี่เหมือนกัน ศึกษาธรรมวินัยแล้วความรู้ล่ะ ถ้าไม่มีความรู้แล้วทำไมเถียงกันเห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้หมองไปด้วยกิเลส จิตผ่องใสเป็นนิพพาน นิพพานผ่องใสๆ เถียงกันปากเปียกปากแฉะ ทั้งๆ ที่เป็นอวิชชาทั้งนั้นแหละ มันเป็นทางเดินทั้งหมดเลย คนที่มันมีวุฒิภาวะน้อยทางเดินมันก็ว่าเป็นเป้าหมาย

คนที่มีปัญญาเห็นไหม ทางเดินคือทางเดิน เป้าหมายคือเป้าหมาย เป้าหมายมันอยู่ข้างหน้า แล้วเป้าหมายถูก เป้าหมายผิดอีก เป้าหมายที่ผิดมันก็ทำไปในทางที่ผิดอีก แล้วเป้าหมายที่ถูกล่ะ ?

เป้าหมายที่ถูกเห็นไหม ความจริงมีหนึ่งเดียว เป้าหมายที่ถูกน่ะ ความรู้ความเห็นเหมือนกัน พูดไม่ต่างกันหรอก นี่ไงว่าเป็นจริต เป็นต่างๆ ที่ว่าความรู้หลากหลายเป็นต่างๆ เหมือนกัน ใช่ ! หลากหลาย แต่พูดเป้าหมายเดียวกันไม่ผิดหรอก พูดถึงที่เดียวกันชัดเจนมาก

นี้มันไม่ชัดเจนเพราะอะไร เพราะมันไม่มีความจริงไงเห็นไหม แล้วก็ว่าอย่างนี้มันเป็นบัญญัติ มันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า พุทธพจน์น่ะเคารพกันทุกคนน่ะ แต่ผู้ที่พูดพุทธพจน์ถ้ามันไม่รู้จริงมันพูดพุทธพจน์มันก็พูดผิด ทั้งๆ ที่ปากพูดพุทธพจน์น่ะ แต่ความหมายในใจมันคาดหมายผิด มันวางไว้ที่ผิด คือมันจะสื่อความหมายอีกอย่างหนึ่ง แต่มันพูดอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าพูดตามธรรมของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง แต่คนฟังมันก็ไม่เข้าใจ คนฟังก็ว่านี่พระพุทธเจ้า เถียงไม่ขึ้นหรอก เพราะเอาพระพุทธเจ้าเหยียบหัวเราไว้ นี่เป็นพุทธพจน์ๆ

พุทธพจน์มันก็อยู่ที่คนพูดคนรู้จริงนะ มันต้องย้อนกลับมาดูที่เรา ดูชีวิตของเรา ชีวิตตามความเป็นจริงนะ เห็นชัดๆ อยู่ แล้วนี่ยังดีนะ เหมือนเราน่ะ เรารู้ว่าชีวิตของเราน่ะออกพรรษาแล้ว หรือว่ามีเป้าหมายว่าจะสึกเมื่อไหร่ เรารู้เลยว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ถ้ารู้ว่าตายเมื่อไหร่ เวลาที่เหลือ เราควรเอาเวลานี้โหมสู้กับมัน

เหมือนคนจะตาย รู้ว่าจะตายแล้วนะ สมบัติของเขาๆ จะมอบมรดกให้ใคร เขาจะมอบไว้หมดเลย เขาจะสั่งเสียเต็มที่เลย นี่ก็เหมือนกัน เราจะต้องออกไปเป็นคฤหัสถ์ ฉะนั้นเวลาของเรามีเท่าไหร่ ถ้าเวลาของเรามีเท่าไหร่ ตรงนี้เราควรจะขวนขวายของเรา เพราะเราสึกไปแล้วนะโอกาสอย่างนี้ไม่มีอีกแล้วล่ะ โอกาสไปประพฤติปฏิบัติที่บ้าน หรือออกไปประพฤติปฏิบัติ หรือออกไปแล้วจะกลับมามันก็คนละคนนะ

ภิกษุบวชเมื่อเฒ่า ผู้ที่ว่าสอนง่ายน่ะไม่มี เวลาเราสึกออกไปแล้วจะกลับเข้ามาใหม่น่ะ อายุมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นไม้แก่ไปเรื่อยๆ ดูเขาทำบอนไซสิ เขาดัดไม้สิ เห็นไหม ดูซิ ไม้ดัดของเขา เขาขึ้นรูปไว้ก่อนเลย จะรูปช้าง รูปอะไรก็แล้วแต่แล้วให้มันเลื้อยไปตามนั้นนะ แล้วเขาตัดแต่งนะ สวย... จะเป็นช้าง เป็นเสือ เป็นหมี ก็มีไปทั้งหมดแหละ เพราะอะไร เพราะไม้มันอ่อนเห็นไหม มันไปตามสิ่งที่เขาขึ้นโครงสร้างไว้

จิตใจถ้ามันแก่ มันดื้อมันด้านจะไปดัดมันได้อย่างไร ไม้แก่จะดัดอย่างไร ภิกษุบวชเมื่อเฒ่า มันจะว่าง่ายสอนง่ายหาได้ยากมาก

นี่เหมือนกัน พอคิดกิเลสมันสอนไง อู้ย...สึกไปก็ไปปฏิบัติเอาน่ะ แล้วเดี๋ยวจะกลับมาบวชใหม่ มันก็ว่าของมันไปนะ ผัดวันประกันพรุ่งไง อ้างเล่ห์ไป หนาวนักก็ไม่ทำงาน ร้อนนักก็ไม่ทำงาน ชาติหน้ากูจะภาวนา อีก ๑๐๐ ชาติกูจะเป็นพระอรหันต์ เกิดแล้วเกิดตายไม่ถึงที่สุดแล้วเดี๋ยวกูจะกลับมาปฏิบัติใหม่ นี่คิดตอนนี้นะ

แต่เวลาตายไปแล้วนะมันเกิดภพเกิดชาติใหม่ มันไปได้สถานะใหม่ ไอ้ความคิดเป็นจริตนิสัยน่ะมันอยู่ในใต้จิตสำนึก ไอ้การแสดงออกของจิตน่ะมันเป็นสถานะปัจจุบันนะ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมนุษย์ มันแสดงออกด้วยบุญกรรมของมัน

ดูสิ ดูสุนัขแต่ละตัวซิ สุนัขบางตัวนะมันมีวาสนามากกว่าเรา เจ้านายมันนะซื้อเพชรให้มันใส่ นอนดี กินดี มากกว่าเราหลายร้อยหลายพันเท่า มันเกิดในอบายภูมินะ ทำไมมันมีวาสนาของมัน นี่ไง ผลบุญผลกรรมของคนไม่เหมือนกันเห็นไหม

ผลบุญผลกรรม การกระทำ นี่จินตนาการไปว่าเมื่อนั้นจะทำอย่างนั้น เมื่อนี้อย่างนั้น นี่มันเป็นอนาคตนะ อนาคตแก้กิเลสไม่ได้ อดีตแก้กิเลสไม่ได้ เวลาปริยัตินะ อู้...ถ้าพูดถึงชาติหน้าหรือชาตินี้มีนะ มันจะไปแก้ชาตินู้นแก้ชาตินี้ อ้างเล่ห์กันไป

ไม่ใช่ ! ไม่ใช่ ! เพียงแต่ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนั้น ที่เกิดนี่ใครมันมาเกิด แล้วเกิดมานั่งอยู่นี่มันเกิดมาจากไหน แล้วถ้ามันไม่สึกแล้วมันจะไปไหน นี่มันเป็นข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างนี้ นี่ผลของวัฏฏะ ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของวัฏฏะ ธรรมชาตินี่ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติเกิดตายนี่ไง

แต่ธรรมะเหนือธรรมชาติ ! มันเข้าใจ มันตีแผ่ออกมาหมดนะ ที่มานี่มันเป็นจริตนิสัย จริตนิสัยเป็นอย่างไร จริตของคนเราเห็นไหม ดูซิ จิตใจกว้างขวาง จิตใจคับแคบ จิตใจเห็นแก่ตัว จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นี่สิ่งนี้มันมา จิตใจมันเป็นสุภาพบุรุษนะ ไม่ใช่จิตใจเป็นแบบว่าพวกมักง่ายน่ะ หมักหมมแต่ในใจ จิตใจนี่มันมาจากไหน สิ่งนี้ถ้ามันไม่มีที่มามันจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร

ถ้ามันเป็นอย่างนี้มันมีที่มาของมันใช่ไหม แต่ที่มานี้มันเป็นอดีตเห็นไหม แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนปัจจุบันธรรม ปัจจุบันคือชาติปัจจุบันนี้ ถ้าปัจจุบันนี้มันปฏิบัติไม่มีที่สิ้นสุดมันก็มีอนาคตของมันไป สิ่งที่เป็นอามิสมันก็หมุนไปในวัฏฏะ บุญกุศลมันหมุนไปในวัฏฏะไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันขับจิตให้มันหมุนไป

วัฏฏะมันเป็นอย่างนี้ ! ธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ! นี่วัฏฏะนะ แล้วตัวจิตที่หมุนไปในวัฏฏะ มันก็มีตัวขับเคลื่อน มันมีขั้วบวกขั้วลบ มันต้องไปด้วยกันมันถึงจะเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อมีจิตหรือไม่มีจิตวัฏฏะมันก็เป็นอย่างนั้น มีจิตขึ้นมาวัฏฏะก็เป็นอย่างนั้น แล้วก็หมุนของมันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น แล้วธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ มันก็หมุนไปในธรรมชาติมันเป็นไปในตัวมันเองอยู่แล้ว มันเป็นโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้มันก็เป็นของมันอยู่แล้ว

นี่เพียงแต่ธรรมะของพระพุทธเจ้าเหนือธรรมชาติ เหนือธรรมชาติก็ต้องฝืน นี่ไง ทนน่ะ.. ฝืน..ตั้งสติขึ้นมา ! มันจะคิดแต่ไม่คิดไปกับมัน มันมีปัญหาอะไรยับยั้งมันไว้ ยับยั้งจิตตัวนี้ไว้ ถ้าจิตตัวนี้มันยับยั้งของมันไว้เห็นไหม มันตั้งของมันได้

เขาว่า ถ้าตั้งขึ้นมานี่ตั้งไม่ได้ ตั้งขึ้นมามันเป็นอัตตกิลมถานุโยค มันเป็นการเกร็ง

คนจะกินข้าว คนจะอยู่จะกิน คนขับถ่าย คนปวดท้อง มันไม่เดินไปส้วมมันจะขี้อย่างไร ! คนจะไปส้วมมันยังต้องเดินไปส้วมเลย มันจะขี้อยู่ที่นอนของมันไม่ได้หรอก เวลามันปวดท้องมันก็ต้องเดินไปขี้ที่ส้วม แล้วจิตใจที่มันจะต่อสู้กับกิเลสมันไม่ตั้งใจขึ้นมาเลยน่ะ มันจะปล่อยให้ไปตามธรรมชาติ มันก็ขี้อยู่บนที่นอนนั้นเลย เวลามันปวดท้องขี้ก็ขี้มันบนที่นอนนั้นเลย กูไม่ต้องไปไหนเลย เพราะไปแล้วมันจะฝืน มันจะไม่เป็นธรรมะ มันจะไม่เป็นธรรมชาติไง

มันไม่มี มันมีมรรคญาณ มันมีการกระทำ มันมีการต่อสู้ มันมีการตั้งสติมัน ถ้าตั้งสติมันขึ้นมา มันเป็นประโยชน์ขึ้นมา มีสติสัมปชัญญะขึ้นมาแล้วมันก็เลือกทำคุณงามความดี ทำดีทำชั่ว มันก็ต้องทำดีของมัน

ถ้ามีสติขึ้นมาแล้วการทำมันก็มีผิดพลาดเป็นธรรมดา ถึงเรามีสติขึ้นมา มีการกระทำมันก็มีผิดพลาดนะ เพราะอะไร เพราะของนั้นมันไม่เคยทำ แล้วมันเป็นจริตนิสัย ทำมากทำน้อยขึ้นมามันก็เป็นการกระทำอันนั้น

มันต้องฝืน ฝืนกับใคร ? มันก็ฝืนกับกิเลส ถ้าไม่ฝืนกับกิเลสมันจะไหลไปกับกิเลส ฝืนกับกิเลสมันเพื่อต่อสู้กับมัน ต่อสู้กับมัน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะสอนธรรมะขนาดไหน ถ้าเราไม่ฝืน เราก็ไม่มีการกระทำ

ไอ้นี่ศึกษาธรรมะมา ธรรมะนิพพาน สุข วิมุตติสุข อู้ย..สุขมากเลย เราก็จะเอาความสุขอันนั้น เราก็สร้างความสุขอย่างนั้น มันสร้างอย่างไรมันก็ไม่มีหรอก ไม่มี !

แต่ถ้ามันเป็นความสุขขึ้นมาไม่ต้องสร้าง มันเป็นขึ้นมาเอง จิตมันสุขขึ้นมาเอง จิตมันเป็นของมัน จิตนี้วิมุตติสุขเห็นไหม ดูสิ สุขทางโลก

ดูนี่ วันนี้วันสารท ถ้าครอบครัวไหน ญาติพี่น้องเขามาเต็มบ้านเต็มเรือนนะ โอ้โฮ มันมีแต่ความสุขนะ อามิสไง สุขเพราะอะไร สุขเพราะมีการกระทบไหม มีแต่ผลตอบแทน มีอามิส มีวัตถุต่างๆ มันก็มีความสุข สุขเวทนา ทุกขเวทนา มีความสุขกันมาก

แต่ความสุขนี้มันจะน้ำตาไหลพราก เวลามีใครต้องพลัดพรากไปตามกาลเวลาของเขาน้ำตาไหลพรากเลย เพราะมีความสุขมาก มีความรักมาก มีความผูกพันมาก มีความยึดมั่นถือมั่นมาก ความสุขนี้จะทำให้น้ำตาไหล น้ำตาจะไหลพราก

แต่วิมุตติสุขน่ะมันไม่ต้องอาศัยใครเลย มันมีสุขในตัวมันเองเห็นไหม เวลาสงบมันก็สงบของมัน เวลามีปัญญาขึ้นมาน่ะมันแก้ไขตัวมัน มันรักษาตัวมัน มันทำลายกิเลสในตัวของมัน มันทำลายเพื่อประโยชน์ของมันนะ ถ้าประโยชน์ของมันอย่างนี้ การต่อสู้เห็นไหม มันต้องมีการต่อสู้ มันถึงมีมรรคญาณ มันถึงมีการกระทำ ไม่ใช่ที่ว่าไหลตามมันไป

เพราะว่าศาสนานี้มัน ๒,๐๐๐ กว่าปี มันก็มีมุมมองต่างๆ มีความเห็นต่างๆ เห็นไหม นี่สัมมาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิ แล้วมิจฉาทิฏฐิก็ว่าเป็นสัมมาทิฏฐินะ ด้วยความเห็นของตัว ถ้าสัมมาทิฏฐิๆ มันเป็นอย่างไร

แต่ถ้ามิจฉาทิฏฐิเห็นไหม เป็นมิจฉาทิฏฐิ แต่เวลาพูดธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นพุทธพจน์ ทำให้เหมือนทุกอย่างเลย เหมือนนั้นน่ะมิจฉาทิฏฐิ เหมือนเพราะความคิดว่าเหมือนไง ความคิดทำให้เหมือน แต่ความจริงมันไม่มีเนื้อหาสาระในตัวของมันเอง

ถ้ามีเนื้อหาสาระของมันเองการพูดออกมามันจะออกมาด้วยความจริงใจ การพูดออกมามันลงกันได้เพราะอะไร ? เพราะความรู้จริงในใจนั้นมันรับรู้ ความรู้จริงอันนั้นมันออกมาจากความรู้จริงอันนั้น

แต่ถ้าความไม่เหมือนนี่ ความรู้จริงในใจมันไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม มันก็พูดธรรมะของพระพุทธเจ้าให้เหมือน แล้วก็บอกว่าเหมือนเปรี๊ยะเลยๆ ไอ้คนที่พูดไม่เหมือนนั้นนะผิด ไอ้คนพูดเหมือนนี่ถูก แล้วไอ้คนพูดเหมือนมันเหมือนเพราะอะไรล่ะ มันเหมือนเพราะคำพูด มันเหมือนเพราะว่ามันเป็นโวหาร มันไม่ได้เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงของเรานะ เราต้องตั้งขึ้นมา

วันนี้เป็นวันพระ แล้วเป็นวันอุโบสถของเราเห็นไหม อุโบสถศีล เราลงอุโบสถสังฆกรรมกันก็เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ในหมู่คณะของเรานะ ในผู้ประพฤติปฏิบัติของเรา เรามีผู้ปฏิบัติใช่ไหม ดูซิ เราบวชมามีอาวุโส ภันเต ผู้ที่บวชมาเก่า ผู้ที่บวชมาก่อนประสบการณ์ทางโลกมี ผู้ที่มีราตรียืนยาว ได้ผ่านโลกผ่านสงสารมามันก็เข้าใจเรื่องสังคมทางโลก

ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์เห็นไหม ผู้ที่มีราตรีเดียวเลย มันไม่มีวันนี้ พรุ่งนี้หรอก มันก็คือ ๒๔ ชั่วโมง จิตมันเป็นปัจจุบันตลอดนะ ผู้ที่ไม่มีราตรีเดียว ผู้ตื่นอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ตื่นตลอดเวลามันตื่นอย่างไร ทำไมมันถึงตื่น เวลามันตื่นขึ้นมาน่ะ ยิ่งตื่นขึ้นมามันยิ่งเห็นแล้วมันยิ่งสังเวช

สังเวชที่ไหน ? สังเวชที่ว่ามันตื่นอยู่เห็นไหม เจ็บไข้ได้ป่วยก็รู้ จะเกิดจะตาย จะสิ้นชีวิตมันรู้หมดนะ พอมันรู้หมดนะ มันเห็นแล้วมันสังเวชไงว่ามันเป็นผลของวัฏฏะ ในเมื่อเราเกิดมาสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่เห็นไหม พระอรหันต์มีชีวิตอยู่ก็ต้องตายไปเป็นธรรมดา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็นิพพานไปแล้ว การตายไปเห็นไหม เราถึงขันธนิพพาน ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ต้องทิ้งมันไปขณะที่ยังไม่ตายเห็นไหม ธาตุนี่ ใจที่มันสะอาดบริสุทธิ์มันก็อยู่ในร่างกายมนุษย์ มันอยู่ในร่างกายธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แล้วธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มันก็ดำรงขันธ์ของมันไป มันก็ต้องเสื่อมเป็นธรรมดา มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา มันต้องเสื่อมสภาพของมันไป

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ธาตุขันธ์ของเรา สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่มันเกิดมามันก็ต้องเสื่อมไปเป็นธรรมดา แล้วจิตที่มันตื่นอยู่มันรู้มันเห็นของมัน มันสลดสังเวชไหม ที่มันสลดสังเวชเพราะมันมีสติ มันมีความรู้ของมัน มันเห็นในชีวิตของเราเองนะ

ในจิตใจ ในวิหารธรรม เดินจงกรม มันรู้มันเห็นของมัน แล้วคิดดูซิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราน่ะ ผู้ที่อาวุโสเป็นครูบาอาจารย์ของเราน่ะ ท่านเห็นสภาพอย่างนั้นแล้วท่านมองมาที่เราน่ะ เราเป็นลูกศิษย์ลูกหา สัทธิวิหาริก เราเป็นหมู่คณะกันนะ คิดซิ แล้วเรายังเพลิดเพลินอยู่ เรายังเป็นหมาขี้เรื้อน เรายังเกาไม่ถูกที่คัน ดูซิ ครูบาอาจารย์ท่านมองมา ท่านจะมีความรู้สึกอย่างไร เอาใจเราเทียบซิ

เราเป็นมนุษย์เห็นไหม เราดูหมาสิ เราดูหมาในกรง มันก็วิ่งของมัน มันก็กินของมัน มันก็เล่นของมันโดยธรรมชาติของมัน มันเป็นหมา เราเป็นคนใช่ไหม เราก็ว่าเราเป็นคน โอ้..หมามันเป็นอย่างนั้นน่ะ เราเป็นคนศักยภาพเราดีกว่า สิทธิทุกอย่างเราดีกว่า เรามีสมอง เราคิดเป็น หมามันเกิดมาแล้วมันโดนขังในกรง ชีวิตมันไม่เป็นอิสรภาพ นี่มันคิดได้

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อครูบาอาจารย์ของเราน่ะ จิตใจท่านตื่นอยู่ในร่างกายของท่าน ท่านเห็นความเสื่อมสภาพของมันนะ มันจะต้องตายวันหนึ่ง มันจะต้องพลัดพรากวันหนึ่งนะ มันต้องย่อยสภาพไป จิตนี้ต้องออกจากร่างนี้ไปเป็นธรรมดา

แต่ในปัจจุบันมันยังเป็นผลของวัฏฏะ อายุขัยของมันยังมีอยู่ ท่านก็อยู่ของท่านเพื่อรักษาจิตใจของท่าน ท่านเห็นของท่านเป็นธรรมชาติของท่าน แล้วท่านมองเรา มันก็เหมือนเรามองดูหมาน่ะ เราเห็นหมามันโดนขังเห็นไหม หมามันไม่มีสิทธิเหมือนเรา เรามีอิสรภาพมากกว่า เราจะเดินไปไหนก็ได้ หมามันต้องโดนขัง หมามันต้องปล่อยเป็นเวลา

เหมือนกัน ! ครูบาอาจารย์ก็มองเราเหมือนกัน เราก็เป็นหมาตัวหนึ่งไง กิเลสมันขังใจเราไว้ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี่เป็นกรงขังมันขังใจเราไว้ แล้วใจเรามันมีกิเลส ใจเรามีความทุกข์ โดนมันขังอยู่ แล้วไม่รู้.. ไม่รู้.. ยังมีทิฏฐิว่ากูดีกว่าหมา ก็ไปมองหมาไง มันไม่มองเราเป็นหมา

มันเป็นหมาซิ มันเป็นผลของวัฏฏะ มันเป็นผู้ข้อง มันก็เป็นหมาตัวหนึ่ง มันเป็นสัตตะ มันข้องในตัวของมัน แล้วจะเอาอะไรแก้ไขมัน จะดูแลมันอย่างไร จะแก้ไขมันอย่างไร มันต้องแก้ไข มันต้องดูแลมัน มันต้องต่อสู้มัน มันต้องมีการกระทำของมัน มันจะเป็นประโยชน์กับเรานี่ มันเห็นแล้วมันสังเวชไหม นี่ธรรม วุฒิภาวะมุมมองของครูบาอาจารย์ วุฒิภาวะของเรา ความเห็นของเรา ความรู้ของเราเห็นไหม นี่พระปฏิบัติ นี่พระป่า คำว่า “พระป่า” มันมีแต่ชื่อ

แต่พระปฏิบัตินะมันมีธุดงควัตร ถือผ้า ๓ ผืน บิณฑบาตเป็นวัตร อาสนะเดียวเป็นวัตร ต่างๆเป็นวัตร นี่วัตรปฏิบัติ ธุดงควัตรเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส แล้วมันเป็นผลดีกับการวิเวก เราไม่ต้องไปคลุกคลี จิตมันเริ่มแยกตัวออกมาจากสังคม เห็นไหม

เราอยู่กับสังคม การคลุกคลีมันจะทำให้เราไม่เห็นตัวเราเอง เราจะอยู่อาศัยกันตลอดไป แต่เราก็แยกออกมา มันเป็นตัวของมันเอง มันจะดิ้นรนของมัน ถ้ามันไม่พอใจมันจะดิ้นรนของมัน มันจะกลับไปกินขี้อย่างเก่า คือมันจะไปคลุกคลีกับเขา มันจะไปกินขี้

แต่เวลาเราจะดึงหมาไว้ไม่ให้มันกินขี้ ดึงใจออกมาจากความคลุกคลี มันจะดิ้นรนของมัน แต่ว่าถ้าจิตมันเริ่มมีหลักเกณฑ์ของมัน มันพอใจของมัน ดูซิ เวลาเราถือธุดงควัตรเห็นไหม เราบิณฑบาตมาเราเลือกของเรา จะใส่ของเราเฉพาะของเรา เวลามันกระชับเข้ามาล่ะ เราไปของเรามันจะสะดวกสบายขึ้นมาไหม นี่ไงขัดเกลากิเลส

แต่ถ้ามันจะกินขี้ มันไม่มีประโยชน์ มันไม่เห็น นี่ทำก็ให้มันยุ่งยากอยู่กันธรรมชาตินี่แหละ ไอ้นี่มันยุ่งยากวุ่นวาย มันคิดของมันไป มัน ต่อต้านของมันไปนะ กิเลสมันคิด กิเลสมันฟาดงวงฟาดงาของมันไป มันฟาดหัวใจเราแหลกลาญไปเลย ทั้งๆ ที่สิ่งที่ทำนี้ใครมันเป็นคนอุตริทำมันขึ้นมา

นี่มันมาในธรรมวินัย มันมาในพระไตรปิฎก มันมาในธรรมของพระพุทธเจ้า ธุดงควัตร ศีลในศีล มันอยู่ในพระไตรปิฎก มันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา พระพุทธเจ้าเห็นโทษของการคลุกคลี เห็นโทษของคนที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ เห็นโทษของเด็กอ่อน

เด็กที่ไม่มีวุฒิภาวะเห็นอะไรมันก็ตีโพยตีพายอยากได้ไปกับเขา มันก็มีธรรมวินัยเป็นพี่เลี้ยง คอยเป็นข้อวัตรปฏิบัติ เป็นเครื่องดำเนินให้จิตใจเกาะสิ่งนี้ ให้มันพยายามสลัดเรื่องของโลกๆ เข้ามาให้มันเป็นธรรม สลัดเรื่องของโลกๆ ขึ้นมาให้มันเป็นธรรมวินัย สลัดอย่างนั้นขึ้นมามันเป็นสมมุติบัญญัติ คือมันยังประพฤติปฏิบัติขึ้นไป ถ้ามันทำของมันขึ้นมามันมีโอกาสของมันขึ้นมาเห็นไหม

แต่ถ้ามันไม่ทำมันก็ว่าเป็นของเล็กน้อยไง มันถือว่ามันมีค่ามากกว่า ทั้งๆ ที่มันเป็นหมาขี้เรื้อนนะ แต่มันบอกว่ามันมีคุณค่ามากกว่า มันทำอะไรที่ดีกว่า นี่เป็นของครึของล้าสมัย เขาเลิกทำกันแล้ว ในปัจจุบันเขาธุดงค์จรวด เขาธุดงค์ดาวเทียมนู้นน่ะ มันไปสุดยอด ไอ้นี่มันล้าหลัง

ธุดงค์ดาวเทียม ธุดงค์จรวดต่างๆ มนุษย์ฆราวาสเขาทำดีกว่าเรา นักบินอวกาศเขาไปเที่ยว เขาไปดาวอังคารกันแล้ว แล้วเขาได้อะไร เห็นไหม ดูซิ ในพุทธศาสนาเรามันมีเนื้อนาบุญของโลก มันมีพระภิกษุให้ทำบุญทำทาน มันมีศาสนาให้ทำบุญกุศล เขาให้ทานกันได้เฉยๆ เพราะเขาไม่มีภิกษุ เขาไม่มีผู้รับ

แล้วถ้าเราเป็นผู้รับแล้วผู้รับมันไม่มีวุฒิภาวะ ผู้รับที่ทำแต่สิ่งใดๆ ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองเลย เห็นไหม แล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร ตัวเองก็ไม่เป็นประโยชน์นะ ทั้งๆ ที่ความคิดเราคิดขึ้นมา พยายามตั้งใจขึ้นมาไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย แล้วยังไปทำลายคนอื่น ทำลายสังคม ทำลายต่างๆ ทั้งหมดเลย ทำลายให้ศาสนาไม่มีจริงๆ

ดูศาสนาซิ ต่อไปนี้เป็นกฎหมายทั้งหมด กฎหมายเป็นข้อบังคับ ธรรมวินัยต้องบังคับเหรอ ต้องบังคับให้คนศรัทธาเหรอ ต้องบังคับให้คนเชื่อถือท่านไหม

แต่ของเรามันไม่ต้อง เราเคารพธรรมวินัยเพราะอะไร เพราะเราเป็นนักบวชใช่ไหม โลกเขาเป็นโลก เขาศึกษากันมาเขาศึกษาทางทฤษฎี แล้วเราบวชมาแล้วเราศึกษาทฤษฎีหรือเปล่า เราก็ศึกษาธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้วเราสร้างขึ้นมา เราทำของเราขึ้นมา เราเป็นผู้ที่ละเอียดอ่อนกว่า เรารู้ถึงข้อเท็จจริงของมัน

ในการยอมรับของใจมันไม่ต้องการมีกฎหมาย ดูซิ เวลาครูบาอาจารย์ท่านขอนิสัย แล้วถ้ามันลงใจมันอบอุ่นนะ จิตใจมันอบอุ่น จิตใจมันมีที่พึ่งที่อาศัย กฎหมายบังคับขนาดไหน กฎหมายมันจะไปอาศัยใครได้ แต่ในเมื่อมันเป็นทางโลกไง กฎหมายบังคับขึ้นมาตามสิทธิ์ ตามสิทธิ์ ! ต้องดูแลตามกฎหมาย มีกฎหมายอ้างอิง มีผู้รักษากฎหมาย กฎหมายบังคับใช้ นู้น ! ออกไปนู้น ! ออกไปอาศัยเขารกจักรวาล

แล้วหัวใจมึงล่ะ ? หัวใจมึงล่ะ ? ใครรักษา หัวใจเรามันมีสติปัญญารักษา ธรรมวินัยนี้มันอยู่ที่สติปัญญาของเรา กฎหมายก็คือกฎหมายมันอยู่ข้างนอก มันเป็นเรื่องของสังคม เหมือนกับวัฏฏะ ผลของวัฏฏะ วัฏฏะมันบังคับใคร ? บังคับจิตดวงนั้น แล้วจิตดวงนั้นหมุนไปตามวัฏฏะ แล้วจิตดวงนั้นมันพ้นจากวัฏฏะไปได้อย่างไร จิตดวงนั้นมันสลัดวัฏฏะ มันสลัดทิ้งเลย มันเหนือวัฏฏะ มันพ้นไปจากวัฏฏะได้อย่างไร

นี่ก็เหมือนกัน กฎหมายบังคับอยู่ข้างนอกแล้วเราไปอาศัยกฎหมาย แล้วตัวมึงล่ะ กฎหมายน่ะมันดี แต่หัวใจเราเร่าร้อน หัวใจทุกข์ฉิบหายเลย กฎหมายบังคับใช้หมดเลยนะ มันหมุนเต็มที่เลยนะ แต่หัวใจมันจะตาย !

แต่ถ้าเรารักษาใจของเราเห็นไหม ธรรมและวินัย เราละเอียดอ่อนกว่าทางโลกเขา ทางโลกเขาทำขึ้นมาก็เพื่อประโยชน์กับสังคม สังคมเขาเป็นอย่างนั้นมันก็เรื่องของเขา

ในเมื่อเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม อย่างว่าทางการปกครองเห็นไหม กฎหมายต้องเอื้อต่อธรรมวินัย ใช่ ! นั่นมันเป็นหน้าที่ของเขา แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติมันเป็นงานของเราที่เราจะต้องบังคับจิตใจของเรา

ถ้าเราบังคับจิตใจของเราแล้วเราแก้ไขของเราไปจนจิตเป็นสมาธิ จนจิตเป็นปุถุชน กัลยณปุถุชน แล้วถ้าจิตมันขึ้นออกเห็นกาย เวทนา จิต ธรรม มันจะเริ่มวิปัสสนา มันจะเดินโสดาปัตติมรรค แล้วเป็นโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

อรหัตตมรรค อรหัตตผล มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ แล้วบุคคล ๘ จำพวกนี่กฎหมายไหนบังคับ ใครเป็นคนทำให้ได้ ใครจะบังคับให้จิตใจมันเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่มีการกระทำกับหัวใจของเรา ไม่มีการกระทำจากหัวใจ ไม่มีการทำจากมรรคญาณ ไม่มีการกระทำของเรา

นี่ไง เวลาเกิดตายในเพศก็อย่างหนึ่ง เกิดตาย เกิดตายในวัฏฏะก็อย่างหนึ่ง เวลาจิตใจมันเกิดตาย เกิดตาย กิเลสมันก็ตายไปกับใจ แล้วใจมันพ้นจากกิเลสไปมันมหัศจรรย์ แล้วเราเป็นคนรู้ เป็นคนเห็น เป็นคนปฏิบัติ เป็นคนเข้าใจ เป็นคนคัดเลือก เลือกผิด เลือกถูก ลองผิด ลองถูก แล้วผิดไม่เอา เอาแต่ถูก แล้วถูกก็เป็นเครื่องดำเนินไปเห็นไหม ถึงที่สุดมันทิ้งทั้งถูกทั้งผิดมันก็เป็นกลาง

เป็นกลางคือมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ได้เป็นกลางขี้หมานะ เป็นกลางแบบไม่รู้นะ อยากเป็นกลางมากเลยน่ะ พระพุทธเจ้าสอนมัชฌิมาปฏิปทา จะเป็นกลางนะ กูจะเป็นกลาง กูจะบังคับให้กูเป็นกลาง ไม่มี ! เป็นไปไม่ได้ !

เป็นกลางในตัวมันเอง เป็นกลางในผู้วิเศษ เป็นกลางโดยจิตที่มันผ่องแผ้ว เป็นกลางโดยจิตที่มันมีปัญญา มีวุฒิภาวะ มีการเลือกเฟ้น เป็นกลางโดยที่เอามรรคญาณทำลายกิเลส กิเลสขาดออกไป มันเป็นกลางเพราะมรรคญาณมันเข้าไปทำลายอวิชชา ทำลายกิเลส คือเป็นชั้นๆ เข้าไป ความเป็นกลางคือมัชฌิมาปฏิปทาที่เข้าไปทำลายกิเลสเป็นชั้นๆ มันเห็นความเป็นกลางแล้วมันปล่อย มันเป็นกลางแบบมีปัญญารอบรู้ กลางโดยที่มีวุฒิภาวะ กลางโดยมีฐานรองรับ กลางที่พูดได้ กลางเข้าใจได้หมดเลย ไม่ใช่กลางขี้ลอยน้ำหรอก

ไอ้กลางขี้ลอยน้ำน่ะ กลาง ! แต่พูดอะไรไม่ได้สักคำ กลางแล้วก็จบไง มันเป็นกลาง กลางอะไร ? ไม่รู้ ไม่รู้หรอก

นู้น... ถ้ารู้ก็รู้พุทธพจน์นู้น รู้ธรรมะพระพุทธเจ้านู้น.. นั้นเป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสมบัติสาธารณะ เราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธทุกคนมีสิทธิเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยเป็นของเรา เป็นของชาวพุทธทั้งหมด ถ้าเป็นของชาวพุทธทั้งหมดน่ะเป็นของสาธารณะ ทุกคนมีสิทธิ์ แต่สมบัติที่เป็นความเป็นจริงในหัวใจของเราล่ะ

เป็นพระโสดาบันต้องมีวุฒิภาวะ แล้วรู้ผลของเหตุที่จะเป็นพระโสดาบัน แล้วเป็นพระโสดาบันแล้วผลที่เป็นพระโสดาบันเป็นอย่างไร เห็นไหมเหตุและผล แล้วอธิบายเหตุและผลนั้นด้วยความถูกต้อง นั้นเป็นสมบัติส่วนตน นี่มรรคผลของใจดวงนั้น ความรู้ของใจดวงนั้น แล้วใจดวงนั้นน่ะมรรคผลนิพพานในพุทธศาสนาอันเดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง จะไม่มีใครมีความรู้แตกต่างออกไปจากนี้เด็ดขาด ไม่มี ! มันต้องเป็นความจริงอย่างนั้น

ถ้ามันประพฤติปฏิบัติไปจนเป็นความเป็นจริงอย่างนั้น สมบัติที่เป็นความเป็นจริงอย่างนั้นคือมรรคญาณ นี่มันต้องเป็นกลางอย่างนี้ กลางแบบพูดได้ กลางแบบรู้ กลางแบบเข้าใจได้ แล้วไม่ใช่ว่าจะเข้าใจได้แค่คนเดียวนะ พระโสดาบันกับพระโสดาบันจะเข้าใจด้วยกันได้หมดเลย แต่พระโสดาบันก็ยังไม่เข้าใจเรื่องของพระสกิทาคามี พระสกิทาคามีก็ยังไม่เข้าใจเรื่องของพระอนาคามี พระอนาคามีก็ยังไม่เข้าใจเรื่องของพระอรหันต์

แต่โสดาบันกับโสดาบันนี้จะเข้าใจกันได้หมดเลย สกิทาคามีก็จะรู้เรื่องของสกิทาคามีได้หมดเลย อนาคามีก็จะรู้เรื่องของอนาคามีได้หมดเลย แล้วพระอรหันต์นี้รู้ได้ทั้งหมดเลย

อย่างอนาคามีนี้ก็จะรู้ได้ในเรื่องของอนาคามี แต่ก็ยังสงสัยเรื่องของพระอรหันต์นะ แล้วถ้าไปเข้าใจว่าเป็นตัวเองเป็นพระอรหันต์อีกด้วย นี่เพราะหลงเห็นไหม อนาคามีที่ไปเข้าใจว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ ก็จะติดอยู่อย่างนั้น นั่นล่ะยังไม่เข้าใจเรื่องของพระอรหันต์แต่ไปเข้าใจว่าใช่นะ แต่พอมันผ่านไปแล้ว "อ้อ..พระอรหันต์อยู่นู้น แต่เราติดอยู่นี่" เห็นไหม

พอมันผ่านไปได้นะ มรรค ๔ ผล ๔ มันเป็นอันเดียวกัน เว้นไว้แต่ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ที่มันจะสงสัยในเรื่องของข้างบนขึ้นไปแล้วมันจะพูดผิดหมด ส่วนผู้ที่เข้าไปถึงสถานที่จริงก็จะพูดความเป็นจริงได้ถูกหมดเห็นไหม นี่ล่ะมรรคผลนิพพาน

ผลของการเกิดและการตาย ตายจากธรรมวินัย ตายจากสมมุติบัญญัติ แล้วตายในวัฏฏะ เห็นไหม แล้วแบบนี้คือกิเลสตายจริง กิเลสตายจากหัวใจแล้วมันมีความจริงขึ้นมา มันมีขึ้นมาได้จากพวกเรานะ พวกเราคือนักรบ พวกเราเป็นพระ พวกเรามีสิทธิที่จะเข้าถึงได้ก่อน พวกเรามีโอกาส เพราะพวกเราเป็นพระปฏิบัติเห็นไหม

ผู้ที่ปฏิบัติ ผู้ที่ต่อสู้อยู่ควรจะได้เข้าถึงผลนั้นก่อน ถ้าเข้าถึงผลนั้นก่อนเราจะต้องขวนขวาย ต้องจริงจังของเรา ผู้ที่เขาเป็นฆราวาสเขาก็มาประพฤติปฏิบัติของเขา แต่เวลาของเขาเห็นไหม ดูสิ เขาไป เขามา เขามา เขาไป เพราะความจำเป็นของเขา แต่เราเป็นพระผู้ไม่มีบ้านไม่มีเรือน มาอยู่วัด อารามิกกะ ที่อยู่ของเราคือวัด เราอยู่ในสนามรบ เราอยู่ในที่การฆ่ากิเลส เราต้องมีความตั้งใจ เราต้องมีความจงใจ เราถึงจะเป็นพระที่สมบูรณ์ เอวัง